วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

วารสารศาสตร์สื่อประสม

วารสารศาสตร์สื่อประสม (Multimedia Journalism)






สื่อประสม หมายถึงการใช้สื่อหลายอย่างร่วมกันได้แก่ ตัวอักษรข้อความ ภาพถ่าย ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ ภาพแอนิเมชั่น และเสียง โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการนำเสนอควบคุมโปรแกรมมัลติมีเดียหรือแฟ้มสื่อประสม และใช้ในลักษณะมัลติมีเดีย(Multimedia) หรือ สื่อหลายแบบ" เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ สามารถผสมผสานกันระหว่าง ข้อความ ข้อมูลตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ไว้ด้วยกัน ตลอดจน การนำเอาระบบโต้ตอบกับผู้ใช้ (Interactive) มาผสมผสานเข้าด้วยกัน "มัลติมีเดีย" เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และใช้คอมพิวเตอร์แสดงผลในลักษณะผสมสื่อหลายชนิดเข้าด้วยกัน ทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ โดยเน้นการโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้องค์ประกอบที่ขาดกันไม่ได้ มัลติมีเดียมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ 1. คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเห็นได้ยิน สามารถโต้ตอบแบบปฏิสัมพันธ์ได้ 2. การเชื่อมโยง สื่อสาร ทำให้สื่อต่าง ๆ ไหลเข้ามาเชื่อมโยงและนำเสนอได้ 3.ซอฟต์แวร์ ทำให้เราท่องไปในเครือข่ายที่เชื่อมโยงข่าวสาร 4. มัลติมีเดีย ต้องให้เราในฐานะผู้ใช้สามารถสร้าง ประมวลผล และสื่อสารข่าวสารต่าง ๆ ได้มัลติมีเดียจึงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหลายอย่างที่ประกอบกัน หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปก็ไม่สามารถเรียกว่า "มัลติมีเดีย" เช่นถ้าขาดคอมพิวเตอร์จะทำให้เราไม่สามารถปฏิสัมพันธ์โต้ตอบได้ สิ่งนั้นก็จะไม่ใช่มัลติมีเดีย..น่าจะเรียกว่าการแสดงสื่อหลายสื่อ แต่ถ้าขาดการเชื่อมโยงสื่อสาร ก็จะเหมือนกับเป็นข่าวสารไว้ในชั้นหนังสือ หรือถ้าขาดเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ทำให้เราท่องไปหรือมีส่วนเข้าไปปฏิสัมพันธ์ด้วยก็จะเหมือนกับดูภาพยนตร์และถ้าขาดช่องทางที่จะให้ผู้ใช้เข้าไปมีส่วนร่วม ก็จะเหมือนกับโทรทัศน์ช่องสัญญาณสื่อสารสำคัญต่อมัลติมีเดีย มัลติมีเดียประกอบด้วยเทคโนโลยีการสร้างและประมวลผลวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ข้อความและรูปภาพ เมื่อมีการสื่อสารร่วมด้วย ทำให้ต้องใช้ช่องสัญญาณสื่อสารที่มีแถบกว้างมาก (Hing Bandwidth)รองรับการทำงานสื่อสารสองทิศทาง โดยเน้นการย่นระยะทางไกล ๆ ให้เสมือนอยู่ชิดใกล้โต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็วระบบสื่อสารข้อมูลที่รองรับมัลติมีเดียต้องมีการรับประกันการบริการ (QoS - Quality of Service) กล่าวคือ การับส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง ข้อมูลที่ส่งมีลักษณะเป็นสายข้อมูล ดังนั้นข้อมูลจะต้องถึงปลายทางตามกำหนดเวลา และให้รูปแบบที่ต่อเนื่องได้ลองนึกดูว่าหากต้องการส่งหรือรับข้อมูลแบบมัลติมีเดียที่ประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหวก็ดี เสียงก็ดีจะต้องมีความต่อเนื่อง ซึ่งจะขาดหายเป็นช่วง ๆ ไม่ได้ ดังนั้น คุณภาพของระบบมัลติมีเดียจึงเกี่ยวโยงกับระบบสื่อสารข้อมูลและการประมวลผลข้อมูลอันรวดเร็วมากของซีพียูในคอมพิวเตอร์ด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล สิ่งที่สำคัญตามมาคือ"มาตรฐานของเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล" อาทิเช่นเทคนิคการบีบอัดข้อมูลวิดีโอเป็น MPEGการบีบอัดข้อมูลเสียงเป็น MIDI และการบีบอัดเสียงพูดด้วย ADPCM หรือแม้แต่รูปภาพก็บีบอัดเป็น GIF หรือ JPEG เป็นต้น การบีบอัดทำให้รับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น และยังใช้ที่เก็บความจุลดลงชนิดของโปรโตคอลสื่อสาร เราแบ่งแยกชนิดของโปรโตคอลสื่อสารให้รองรับในระบบมัลติมีเดียออกเป็น 2 แบบคือ "โปรโตคอลเชื่อมโยง (Connection Protocol)" และ "โปรโตคอลไม่เชื่อมโยง (Connection Protocol)" "โปรโตคอลเชื่อมโยง" หมายถึง ก่อนการรับส่งสายข้อมูลจริง จะต้องมีการตรวจสอบสำรวจหาเส้นทาง เพื่อให้ตัวรับและตัวส่งเชื่อมโยงกันได้ก่อน จากนั้นสายข้อมูลจึงจะไหลไปตามการเชื่อมโยงนั้น "โปรโตคอลไม่เชื่อมโยง" อาศัยการส่งแพ็กเก็ตข้อมูลที่มีการกำหนดแอดเดรสไว้บนแพ็กเก็ต อุปกรณ์สื่อสารบนเส้นทางจะส่งต่อกันไปจนถึงปลายทางได้เอง ดังนั้น การใช้มัลติมีเดียบนเครือข่ายจึงต้องมีการพัมนาเทคโนโลยีต่าง ๆ บนโปรโตคอลทั้งสองนี้ให้ใช้งานได้บนเครือข่าย ลักษณะของการประยุกต์มัลติมีเดียบนเครือข่ายจึงมีหลายรูปแบบ คือ "การสื่อสารแบบ Broadcast" คือสถานีบริการหนึ่งสามารถส่งกระจายข่าวสารมัลติมีเดียไปให้กับผู้ขอให้บริการ (Client) ที่อยู่บนเครือข่ายได้ทุกเครื่องในเวลาเดียวกัน โดยต้องการให้ผู้ชมสามารถโต้ตอบกลับได้ นั่นคือร่วมเล่นเกมโชว์จากทางบ้านได้ เป็นต้น "การสื่อสารแบบ Unicast or pointcast" เป็นการกระจายข่าวสารจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังไคลแอนต์ในลักษณะเจาะจงตัว เช่น เซิร์ฟเวอร์เป็นสถานีบริการข่ายผู้ใช้อยู่ที่บ้านต้องการรับข่าวสารก็สามารถบอกรับ โดยเลือกหัวข้อข่าวสารต่าง ๆ ตามที่ตนเองสนใจ เมื่อเซิร์ฟเวอร์มีข่าวใหม่ในหัวข้อที่ผู้ใช้คนใดสนใจก็จะติดต่อส่งข่าวสารมาให้โดยเลือกส่งเฉพาะบุคคล "การสื่อสารแบบ Multicast" การสื่อสารแบบนี้แตกต่างจากแบบ Broadcast ซึ่งกระจายข่าวสารทั่วทั้งเครือข่าย แต่ Multicast จะกระจายแบบเจาะจงไปยังผู้ใช้ตามที่ได้เรียกขอมา




























เอกสารอ้างอิง


-.(2554). วารสารสื่อประสม (journalism multimedia). สืบค้นจาก http://www.oknation.net/blog/    
           TiDT3E/2011/09/19/entry-1
- .(2553).มัลติมีเดีย (Multimedia) คืออะไร. สืบค้นจาก  
           http://duanglethai2532.blogspot.com/2010/02/multimedia.html 



ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช 21 เม.ย. 2558

สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=xC8TqtYkTdM





วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

วารสารศาสตร์น่ารู้



วารสารศาสตร์ มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Journalism ตามความหมายในอินเตอร์เนชั่นแนล เอนไซโคลปีเดีย (Internation Encyclopedia) หมายถึง วิชาการที่ว่าด้วยสิ่งพิมพ์ที่เผยแพร่เนื้อหาข่าวสารต่อสาธารณะ




สรุป วารสารศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วนสื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวารสาร


ปรัชญาสูงสุดวารสารศาสตร์เบื้องต้น

คือ การปฏิบัติหน้าที่สนองสิทธิเสรีภาพในการแสวงหาการสื่อสารของประชาชน เพื่อผลการตรวจสอบรัฐบาลอย่างเที่ยงตรง ในการทำหน้าที่ดังกล่าวถึงประสิทธิภาพ หนังสือพิมพ์จะต้องสิทธิและเสรีภาพ ในการสวงหาข่าวสารและรายงานข่าวสารได้อย่างอิสระ หากปราศจากเงื่อนไขยากที่จะทำหน้าที่อย่างโปร่งใส เที่ยงธรรม


ปรัชญาทางวารสารสาสตร์ เป้ฯกลไกสำคัญในการสร้างความสมดุลให้แก่สังคม ปัจจุบัน คอยสอดส่องดูแลผลประโยชน์ของสังคมและสาธารณะ หากปราศจากวิชาชีพวารสารศาสตร์ที่น่าเชื่อถือแล้ว สังคมคงขาดที่พึ่งสำหรับพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ผู้ด้อยโอกาส และนำความระส่ำระสายให้ สังคมที่ไม่เป็นธรรม

ความสำคัญของการพิมพ์

- การนำเสนอข่าวสาร
- โฆษณาประชาสัมพันธ์
-การผลิตงานศิลปะ
- การบันทึกข้อมูลเพื่อการศึกษาค้นคว้า
-การนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการ


สาระสำคัญของงานวารสาร


คือ กระบวนการนำเสนอข่าวสารข้อมูลทีมีสารประโยชน์ เป็นข้อเท็จจริง ความเป็นจริง

ที่เกิดขึ้น สร้างสรรค์สังคม เป็นผู้ชี้ทางสว่างให้ผู้อ่านสามารถใช้ข่าวสารเหล่านั้น ประกอบดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำหนังสือพิมพ์ที่ต้องจะต้องปฏิบัติ ภารกิจความเป็นนกวารสารศาสตร์ให้สังคม สามารถพัฒนาได้อย่างถูกทิศทางตามสิทธิเสรีภาพ การรับรู้ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย

พันธกิจของนักวารสารศาสตร์


เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการพิทักษ์มีเสรีภาพการรับรู้ข่าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิของมนุษยชนคือ สิทธิในการรับรู้ สอทธิการเข้าถึงข่าวสารแหล่งสาร เสราภพ ด้านข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็นของปัจเจกชนตามหลักการประชาธิปไตย ปรัชญาดังกล่าวนั้น นำไปสู่ การกำหนดบทบาทหน้าที่พึ่งปฎิบัติของสื่อมวลชน ในฐานะกลางของสังคม เพื่อสนองต่อสิทธิและเสรีภาพ ที่ประชาชนมีอยู่ ในฐานะสื่อข่าวสารหนังสือพิมพ์ มีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องสิทธิและเสรีภาพอย่างมีเกียรติสมศักดิ์ศรีได้รับความไว้วางใจให้เป็นกระบิดเสียงของประชาชน



หน้าที่พื้นฐานของสื่อมวลชน


สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการสื่อสารของสังคม ด้วยศักยภาพของสื่อมวลชนจึงทำให้สื่อมวลชนยิ่งทวีความสำคัญในฐานะสื่อกลางของการสื่อสาร ดังนั้นหากกล่าวถึงหน้าพื้นฐานของสื่อมวลชนจึงสมควรอ้างอิงหน้าที่สำคัญพื้นฐานของการสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้น




ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้อธิบายหน้าที่ของการสื่อสารไว้ดังนี้


1. การสังเกตการณ์สภาพแวดล้อม (Surveillance of the Environment) นั่นคือการเฝ้าดูแลสอดส่องเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งภัยอันตรายที่อาจส่งผลกระทบกับสมาชิกในสังคม


2. การประสานสัมพันธ์ส่วนต่างๆ ของสังคม (Correlation of the Parts) นั่นคือการสื่อสารช่วยให้สมาชิกกลุ่มต่างๆ ในสังคมมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความสงบเรียบร้อย


3. การถ่ายทอดมรดกทางสังคม (Transmission of Social Inheritance) นั่นคือช่วยให้อนุชนรุ่นหลังมีการสืบทอดวัฒนธรรมต่อๆ กันไปโดยไม่ขาดตอน เปรียบเสมือนการให้การศึกษา


นอกจากหน้าที่พื้นฐานทั้ง 3 ประการแล้ว ชาร์ล ไรท์ (Charles R. Wright) ยังได้เสนอหน้าที่ในการให้ความบันเทิงเพิ่มเติมด้วย



สื่อมวลชนในฐานะสื่อหรือเครื่องมือในการสื่อสารของสมาชิกในสังคมจึงมีหน้าที่พื้นฐาน 4 ประการ คือ

1. หน้าที่ในการให้ข่าวสาร

2. หน้าที่ในการให้ความคิดเห็น

3. หน้าที่ในการให้การศึกษา และ

4. หน้าที่ในการให้ความบันเทิง


1. หน้าที่ในการให้ข่าวสาร การให้ข่าว ข่าวสาร นับเป็นหน้าที่แรกของสื่อมวลชนที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกล่าวในบริบทของการสื่อสาร หน้าที่การให้ข่าวสารนับเป็นหน้าที่อันดับแรกที่เก่าแก่และยาวนานที่สุดของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อสังคมมนุษย์ขยายขอบเขตมากขึ้นต้องอาศัยสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร หน้าที่การให้ข่าวและข่าวสารจึงยังคงเป็นหน้าที่ที่สำคัญลำดับแรกของสื่อมวลชน


การให้ข่าวและข่าวสารของสื่อมวลชนด้วยการเก็บรวบรวม ประมวล วิเคราะห์ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ภาพ เสียง เหตุการณ์ต่างๆ เพื่อนำไปเผยแพร่เป็นข่าวให้สมาชิกในสังคมได้ทราบถึงสภาพแวดล้อมของสังคมนั้นๆ เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นและความสนใจของบุคคล ช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรม เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเองของสมาชิกในสังคม การให้ข่าว ข่าวสาร อาจนับได้ว่ามีประสิทธิผลในการเสริมสร้างทางปัญญาของสมาชิกในสังคมอีกด้วย


2. หน้าที่ในการแสดงความคิดเห็น นอกจากการให้ข่าว ข่าวสารแล้วสื่อมวลชนยังต้องมีหน้าที่ในการอธิบาย แปลความหมาย ตีความ และวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความหมายของข่าว ข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นบทบรรณาธิการทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่แสดงถึงความคิดเห็น สารคดีเชิงข่าวทางโทรทัศน์ที่เสนอภูมิหลังของข่าวหรือเหตุการณ์และข้อวิพากษ์วิจารณ์ บทวิเคราะห์ข่าวทางวิทยุกระจายเสียงในการเปิดเผยสาเหตุของเหตุการณ์ และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต การแสดงความคิดเห็นเหล่านี้จัดเป็นหน้าที่พื้นฐานของสื่อมวลชนที่จะต้องทำเพื่อประโยชน์ของสมาชิกในสังคม รวมทั้งการเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นของสังคมเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมใจกัน


3. หน้าที่ในการให้การศึกษา การให้การศึกษานับเป็นการเสนอสาระความรู้อย่างมีระบบ มีวิธีการ เพื่อให้อยู่ร่วมกับบุคคลอื่นๆ ในสังคมได้ การให้การศึกษานี้สื่อมวลชนสามารถให้ได้ทั้งการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย อันหมายรวมถึงการถ่ายทอดวัฒนธรรม ค่านิยม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี บทบาท หน้าที่ ของสมาชิกในสังคมด้วย สื่อมวลชนจะเป็นผู้นำสารในลักษณะของความรู้และประสบการณ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสติปัญญา การปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ และการปรับภูมิปัญญาเข้าสู่มาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน


4. หน้าที่ในการให้ความบันเทิง สื่อมวลชนมีหน้าที่ตอบสนองทางด้านจิตวิทยาแก่สมาชิกในสังคมได้เป็นอย่างดี ด้วยการช่วยคลายเหงาเพื่อทดแทนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งมีน้อยลง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนและมีกำลังใจเพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยรักษาเยียวยาภาวะต่างๆ ภายในจิตใจ เช่น ความเศร้าหมอง ความวิตกกังวล ความผิดหวัง ช่วยให้หลีกหนีปัญหาต่างๆ ให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และลดความตึงเครียดของจิตใจ ซึ่งสื่อมวลชนนำเสนอในรูปของ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ รายการเพลงทางวิทยุกระจายเสียง นวนิยาย เรื่องสั้นในสารคดี คอลัมน์บันเทิงต่างๆ ในหนังสือพิมพ์



แม้ว่าข้อถกเถียงเรื่อง “วารสารศาสตร์ตายแล้ว” จะยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องด้วยผู้คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า สื่อสิ่งพิมพ์ยังมีเสน่ห์และมีลักษณะเด่นเฉพาะที่สื่อใหม่ (New Media) ทั้งหลายมิอาจทดแทน

ในขณะที่อีกหลายคนมองปรากฏการณ์ถดถอย ล้มหายตายจากของสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ระดับโลก ว่าเป็นภาพสะท้อนถึงวิกฤตครั้งสำคัญของวารสารศาสตร์

ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไรก็ตาม แต่ทุกคนมิอาจปฏิเสธว่า การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเติบโตของ Social Media อย่าง Facebook Twitter YouTube Blog ฯลฯ ส่งผลกระทบอย่างแรงต่ออุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ ทำให้สื่อดั้งเดิม (Traditional Media) ประเภทนี้จำต้องปรับตัวก้าวสู่โลกดิจิตอลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

ใช่แล้วครับ...วารสารศาสตร์แบบเก่ากำลังถูกตั้งคำถามจากสังคมและอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่วารสารศาสตร์สายพันธุ์ใหม่

อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการกับชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศพร้อมๆ กับคณาจารย์ด้านวารสารศาสตร์อีกหลายสถาบัน ในการพูดคุยกันพวกเราทุกคนทั้งนักวิชาชีพและนักวิชาการด้านสื่อมวลชนต่างเห็นพ้องและตระหนักถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวารสารศาสตร์

ในสายวิชาชีพด้านวารสารศาสตร์หลายแห่ง ทั้งสื่อหนังสือพิมพ์และสื่อนิตยสารเริ่มตื่นตัว มีการขยับปรับองค์กร พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ

คำถามคือสายวิชาการ...โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาด้านวารสารศาสตร์ของเมืองไทยล่ะครับ เท่าทันกับการเปลี่ยนโฉมสู่วารสารศาสตร์ยุคใหม่หรือไม่

ในที่ประชุมวันนั้น เหล่าอาจารย์จากหลากสถาบัน ทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชน ต่างถอดหัวโขน เปิดใจแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

“...มหาวิทยาลัยของผมปิดสาขาวารสารศาสตร์ไปแล้วครับ เพราะมีเด็กเรียนไม่กี่คนเอง เปิดไปก็ไม่คุ้มทุน...”

“...ของมหาวิทยาลัยพี่ก็มีคนเรียนน้อยลงมาก เราไม่มีโอกาสเลือกเด็กดีๆ เก่งๆ เลย ตอนนี้กลายเป็นว่าเด็กไม่มีที่เรียนค่อยมาลงเรียนวารสารศาสตร์ เด็กบางคนแทบไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์มาก่อนเลย พอคุยเรื่องข่าวก็ไม่รู้เรื่อง..”

“...เด็กของหนูบอกว่า เรียนวารสารฯไปก็ตกงาน สู้เรียนโฆษณา เรียนวิทยุ ทีวี ไม่ได้ ฟลุ้กๆได้ออกทีวีเป็นคนดัง รวยเละ...” ฯลฯ

สถานการณ์การเรียนการสอนด้านวิชาวารสารศาสตร์ของไทยอยู่ในช่วงวิกฤตยิ่ง ทั้งในเชิงปริมาณตัวเลขยอดนักศึกษาที่ตกฮวบ หรือในเชิงคุณภาพของผู้เรียน ที่ส่วนใหญ่มาเรียนเพียงหวังแค่ใบปริญญา

มันช่างต่างจากในหลายๆ ประเทศที่คนเรียนด้านวารสารศาสตร์คือเด็กหัวกะทิ มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญด้านภาษา ด้านการสื่อสาร สนใจปัญหาข่าวสารบ้านเมือง และที่สำคัญคือเป็นคนชอบอ่าน ชอบการขีดเขียน ชอบตั้งคำถามกับเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยพื้นฐานของนักวารสารศาสตร์ที่ดี

ด้วยเหตุนี้ หลายสถาบันการศึกษาจึงเลือกตัดสินใจปิดสาขาวิชาวารสารศาสตร์ หรือปรับเปลี่ยนชื่อสาขา ปรับหลักสูตรให้ดูเร้าใจ เพื่อหวัง “ขาย” ให้โดนใจผู้เรียนมากขึ้น

พูดคุยถึงผู้เรียนกันไปแล้ว ผู้สอนด้านวารสารศาสตร์ล่ะครับ เป็นอย่างไรบ้าง...

“...ถ้าให้หนูพูดจริงๆ นะคะ อาจารย์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยของหนูยังกอดตำราเก่าอยู่เลย กี่ปีกี่ปีก็สอนแบบเดิม...”

“...ของผมก็เหมือนกัน อย่างอาจารย์สอนถ่ายภาพยังสอนแต่กล้องฟิล์มม้วน บังคับให้นักศึกษาล้างอัดฟิล์มในห้องมืดตลอดทั้งเทอม เพราะเขาทำโฟโต้ช็อปไม่ได้ ทั้งที่เด็กเขาอยากเรียน อยากรู้ คณบดีไล่ให้ไปเรียนเพิ่มก็ไม่ไป เป็นเหมือนไม้แก่ดัดยาก...”

“...ที่มหาวิทยาลัยพี่พวกเจ้าที่เยอะ พวกนี้ไม่ยอมให้ใครมายุ่งวิชาของเขานะ ใครเสนอให้ปรับหลักสูตร ปรับรายวิชาให้ทันสมัย เจ๊แกไม่ยอมลูกเดียว เข้าทำนองวิชาข้าใครอย่าเตะ...” ฯลฯ

นี่แหละครับคือปัญหาสำคัญของแวดวงการศึกษาไทย เมื่อนักวิชาการจำนวนหนึ่ง (มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน) ไม่พัฒนาตัวเองให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม มองวิชาวารสารศาสตร์แบบคับแคบจำกัดอยู่แต่เฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม

ทั้งที่ทุกวันนี้ ภูมิทัศน์ของวารสารศาสตร์ขยายกว้างกว่าสื่อสิ่งพิมพ์เพียงอย่างเดียว

เพราะปัจจุบันนักข่าวไม่เพียงแต่ทำข่าวป้อนสื่อสิ่งพิมพ์เพียงอย่างเดียว หากแต่เนื้อหาข่าว(Content) ยังสามารถถูกถ่ายโอน ดัดแปลงออกสู่สื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ ตลอดจนสื่อออนไลน์ หรือส่งผ่านทางโทรศัพท์มือถือ หลากหลายรูปแบบ

ดังนั้น ผู้สอนด้านวารสารศาสตร์จึงต้องเร่งเรียนรู้นวัตกรรมในสายงานวารสารศาสตร์ เพื่อถ่ายทอดไปสู่ลูกศิษย์ลูกหา

แน่นอนว่า เรื่องไม่รู้ ไม่ผิดหรอกครับ เพราะอาจารย์จำนวนไม่น้อยเติบโตมาในยุคอะนาล็อก แต่เมื่อโลกขยับไปสู่ยุคดิจิตอลแล้ว หากอาจารย์ยังยึดติดกับรูปแบบ เนื้อหา การสอนแบบเดิมๆ ลูกศิษย์จบออกไปก็ไม่สามารถเดินเข้าสู่วิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ

ทีนี้ มาคุยเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนด้านวารสารศาสตร์กันหน่อยนะครับ อันที่จริง...แทบทุกสถาบันมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอนทุก 3-4 ปี เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด อืม...แต่นั่นเป็นภาพลวงตาครับ

โดยข้อเท็จจริงแล้ว มีเพียงไม่กี่สถาบันการศึกษาด้านวารสารศาสตร์ของเมืองไทยหรอกนะครับที่ปรับหลักสูตรโดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของตลาด หรือมองไปข้างหน้าคาดการณ์ถึงความเป็นไปของนักวารสารศาสตร์ในอนาคต

สถาบันการศึกษาด้านวารสารศาสตร์หลายๆ แห่งของเมืองไทยยังตีกรอบวารสารศาสตร์อย่างคับแคบว่าจะมุ่งผลิตบัณฑิต ป้อนสู่อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์เพียงอย่างเดียว

บางแห่งทันสมัยขึ้นมาหน่อยมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับสื่อใหม่ อย่างสื่ออินเตอร์เน็ต การทำเว็บไซต์ หรือเพิ่มวิชารายงานข่าวออนไลน์เข้าไปในหลักสูตร แต่รูปแบบการเรียนการสอนเกี่ยวกับการรายงานข่าวยังยึดติดกับโครงสร้างแบบสื่อสิ่งพิมพ์เพียงอย่างเดียว

ทั้งที่ธรรมชาติของสื่อใหม่คือการผนวก หลอมรวม (Convergence) จุดเด่นของสื่ออันหลากหลายเข้าด้วยกัน

แต่น่าเสียดายว่า หลักสูตรวารสารศาสตร์ของไทยส่วนใหญ่ยังขาดการเรียนการสอนแบบ Convergence Journalism

นั่นคือ การสอนให้นักศึกษาสามารถใช้สื่อใหม่ในการรวบรวมข้อมูลข่าว แสดงความคิดเห็น รายงานข่าว หรือบอกเล่าปรากฏการณ์ที่นักศึกษาพบเจอได้อย่างเป็นอิสระ สอดคล้องต่อธรรมชาติของสื่อดิจิตอล

นอกจากนั้น หลักสูตรวิชาวารสารศาสตร์ของไทยยังต้องก้าวข้ามมายาคติแบบยุคเดิมที่มองว่า นักข่าวหรือนักวารสารศาสตร์คือผู้ส่งสาร มีอำนาจในการเลือกส่งหรือไม่ส่งข้อมูลข่าวสารใดๆ ก็ได้ให้กับผู้รับสาร

ส่วนผู้รับสาร ล้วนอยู่ในสภาพของการถูกกระทำ (Passive) จำต้องรับข่าวสารอย่างจำนน หากใครไม่เห็นด้วย ต้องการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่นำเสนอในข่าว พวกเขาทำได้อย่างมากคือการเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์ไปร้องเรียน ชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนกองบรรณาธิการข่าวจะตอบสนองต่อข้อร้องเรียนอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่เดี๋ยวนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคสื่อ โดยเฉพาะคนเมืองเปลี่ยนไป อันเป็นผลมาจากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้ผู้เสพสื่อ หรือผู้รับสาร ไม่ได้ทำหน้าที่แค่นั่งเฉยๆ คอยรอรับข้อมูล ข่าวสารที่ส่งผ่านมาทางสื่ออย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ผู้เสพสื่อสามารถกลายสภาพเป็นผู้กระทำ (Active) หรือผู้ส่งสารไปด้วยในตัว

พูดง่ายๆ คือ แทนที่คนอ่านข่าวจะนั่งเฉยๆ รับข้อมูลฝ่ายเดียว ก็สามารถเขียนหรือนำเสนอข้อมูล ข่าวสารโต้แย้งกลับไปยังสื่อหรือส่งสารไปถึงนักข่าวอีกด้านหนึ่ง ผ่าน Blog Twitter Facebook Webboard ฯลฯ ได้เช่นกัน

ขณะเดียวกันการส่งสารดังกล่าวยังสามารถส่งข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชน (Public) หรือชุมชน (Community) ได้ร่วมรับรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ หลักสูตรวารสารศาสตร์แนวใหม่ควรสอนให้นักศึกษาหัดรู้จักใช้สื่อใหม่ โดยเฉพาะ Social Media ดึงผู้บริโภคสื่อให้มามีส่วนร่วม (Collaborative) ในเนื้อหาข่าวให้มากที่สุด เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์เนื้อหาข่าวให้มีมุมมองรอบด้านมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญเหนือกว่าการเรียนการสอนด้านเทคนิค คือการสอน หลักคิด มุมมอง ต่อตนเอง ต่อสังคมและโลก เพื่อให้นักวารสารศาสตร์รุ่นใหม่สามารถวิเคราะห์ และนำเสนอเรื่องราวต่างๆได้อย่างมีเอกลักษณ์

นอกจากนั้น ยังต้องบ่มเพาะให้นักศึกษาวารสารศาสตร์ตระหนักถึงจริยธรรมทางวิชาชีพ และสานต่อภารกิจในการเป็นหมาเฝ้าระวังภัยให้กับสังคม

กล่าวโดยสรุป นักวารสารศาสตร์สายพันธุ์ใหม่นอกจากจะต้องรอบรู้ คิดเป็น เก่งเทคโนโลยีแล้ว ยังต้องมีหัวใจคุณธรรมอีกด้วย


















































เอกสารอ้างอิง

อ.เกศินี บัวดิศ.มปป. สืบค้นจาก https://kesineejournalism.blogspot.com/2011/06/blog-post.html


มาลี บุญศิริพันธ์ (2558).สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=i3H99p9dqrA

AdmissionPremium